นายกฯ แพทองธาร หารือ นายกฯหลี่ เฉียง พร้อมประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ในอนาคต
นายกฯ แพทองธาร หารือ นายกฯหลี่ เฉียง พร้อมประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ในอนาคต โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางและมุ่งมองไปข้างหน้า ให้ประชาชนมีกินมีใช้ มีความปลอดภัย และมีความพร้อมรับกับอนาคต (future-ready)
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568) ณ North Hall มหาศาลาประชาชน เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (เวลากรุงปักกิ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชั่วโมง) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีต้อนรับ ตรวจแถว จากนั้น นายกรัฐมนตรีพบหารือกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กล่าวอวยพรปีใหม่จีน ตลอดความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปีที่ผ่านมา ไทยกับจีนได้ร่วมมือสนับสนุนเกื้อกูลกันมาตลอด ทั้งสองประเทศยังได้ร่วมกันจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาในภูมิภาค
จนปัจจุบันความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นตามลำดับ ทำให้จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่อง 12 ปี และเป็นนักลงทุนลำดับต้นของไทย และมูลค่าการค้า จนถึงพฤศจิกายน 2567 รวม 1 แสนล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 9 และมีนักลงทุนจีนมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 1.2 หมื่นล้านบาทในช่วง 9 เดือน รวมทั้งการยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกทุกวันนี้มีความเกี่ยวพันกันจนแยกกันไม่ออก ไทยกับจีนจึงยิ่งต้องประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ในอนาคต โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางและมุ่งมองไปข้างหน้า และจะต้องทำให้ (1) ประชาชนมีกินมีใช้ (2) มีความปลอดภัย (3) มีความพร้อมรับมือกับอนาคต (future-ready) มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมีทัศนคติที่ดีต่อกัน ซึ่งได้มีการหารือกับประธานาธิบดี เช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้
ไทยมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือในโครงการสำคัญให้บรรลุผลสำเร็จในปีนี้ โดยเฉพาะการอนุมัติโครงการรถไฟไทย - จีน ระยะที่ 2 ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ สปป. ลาว และจีนได้ และการรับแพนด้ายักษ์ คู่ใหม่จากจีน ในฐานะทูตสันถวไมตรี
ความร่วมมือเพื่อ 'ประชาชนมีกินมีใช้'ทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินหน้าความร่วมมือ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ อาทิ การร่วมมือกันปฏิรูปอุตสาหกรรมการเกษตร และส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน โดยไทยมีนโยบายสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของจีน จึงเชื่อว่าจะนำไปสู่การเจริญเติบโตร่วมกันของทั้งสองประเทศและภูมิภาคนี้
ด้านการค้า นายกรัฐมนตรีเห็นว่าควรใช้ประโยชน์จาก FTA ทั้ง RCEP และ ASEAN - China FTA ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจายกระดับความตกลงให้ทันสมัย และหวังว่าจะสามารถลงนามได้ภายในปีนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน โดยยินดีที่หน่วยงานทั้งสองฝ่ายจะมีการลงนามความตกลงหลายฉบับในเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเปิดตลาด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับมาตรการกำกับดูแล มาตรฐาน คุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งสินค้าทุเรียนและน้ำเชื่อม ซึ่งรัฐบาลได้สั่งการยกระดับการควบคุมและกำกับดูแลแล้ว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้บริโภคชาวจีนจะได้รับสินค้าไทยที่มีคุณภาพสูง
ความร่วมมือเพื่อ 'ประชาชนมีความปลอดภัย' นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุด โดยไทยพร้อมร่วมมือกับจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในระดับทวิภาคีและผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ในการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาดจริงจัง พร้อมขอความร่วมมือจากจีนในการสกัดกั้นและเตือนภัยเหยื่อตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูล/ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศไทยในบรรดาชาวจีน
ความร่วมมือเพื่อ 'ประชาชนมีความพร้อมรับกับอนาคต' ไทยและจีนเห็นพ้องว่า ประชาชน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของประเทศและความสัมพันธ์ จึงควรเร่งส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความพร้อมต่ออนาคต ซึ่งไทยพร้อมส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม soft power กับจีน
ในโอกาส 50 ปี ความสัมพันธ์ฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวเสนอให้ทั้งสองฝ่ายกระชับความร่วมมือในระดับประชาชนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเพิ่มจำนวนเมืองพี่เมืองน้องระหว่างกันให้เป็น 50 คู่ในปีนี้ และไทยยังมีแผนที่จะจัดทำแสตมป์ที่ระลึกในโอกาสนี้ด้วย
สำหรับ ประเด็นภูมิภาค ไทยพร้อมร่วมมือและมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้าในภูมิภาคเอเชีย และร่วมกันแก้ปัญหาในภูมิภาคที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ และหวังว่าจะได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีจีนที่ไทยในปีนี้ ในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง