สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ : ผลกระทบและการปรับตัวของประเทศไทย
โดย ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล ประธาน สถาบันวิจัยพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา บี อาร์ ไอ
บทนำ
วันนี้ เราจะพูดถึงหนึ่งในประเด็นสำคัญ ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย คือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
สงครามการค้า คือสถานการณ์ที่ประเทศต่างๆ ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การขึ้นภาษี หรือการตั้งกำแพงกีดกันทางการค้า เพื่อตอบโต้กัน โดยสงครามการค้านี้เริ่มรุนแรงขึ้นในปี 2018 ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนมีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทั้งในด้านการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การอุดหนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ และการปิดกั้นการเข้าถึงตลาด
จีนตอบโต้โดยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ สงครามการค้านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องภาษีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความขัดแย้งเชิงอำนาจและอิทธิพลในระดับโลก
กลยุทธ์ของสหรัฐฯ และจีน
สหรัฐฯ มีเป้าหมายหลักในการรักษาความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยี และจำกัดการเติบโตของจีน โดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า กำหนดข้อจำกัดด้านการลงทุน และห้ามบริษัทอเมริกันทำการค้ากับบริษัทเทคโนโลยีของจีน เช่น Huawei หรือ TikTok
ขณะเดียวกัน จีนก็ตอบโต้โดยเพิ่มมาตรการภาษี และเร่งพัฒนานวัตกรรมในประเทศ เช่น ส่งเสริมนโยบาย Made in China 2025 และขยายอิทธิพลผ่านโครงการ Belt and Road Initiative ซึ่งเชื่อมโยงจีนกับประเทศต่าง ๆ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
อีกหนึ่งแนวรบที่สำคัญคือ 'สงครามเทคโนโลยี' ซึ่งเกี่ยวข้องกับ AI, 5G, และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าสร้างความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลก บริษัทข้ามชาติหลายแห่งเริ่มทบทวนห่วงโซ่อุปทาน บางรายย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นเพื่อลดความเสี่ยงจากภาษี
เวียดนาม อินเดีย และเม็กซิโก กลายเป็นจุดหมายใหม่สำหรับการลงทุน ขณะที่ตลาดการเงินโลกผันผวน ค่าเงินอ่อนตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศยังกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม โดย IMF และธนาคารโลกต่างปรับลดคาดการณ์การเติบโต
ผลกระทบและโอกาสของประเทศไทย
ประเทศไทยได้รับผลกระทบในหลายด้าน เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่ หากความขัดแย้งยืดเยื้อ จะทำให้คำสั่งซื้อสินค้าลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
แต่อีกด้านหนึ่ง ไทยก็มีโอกาสในฐานะประเทศที่สามารถดึงดูดการย้ายฐานการผลิตจากจีน โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ภายใต้โครงการ EEC
หากไทยสามารถพัฒนาแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แนวทางการปรับตัวของประเทศไทย
เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบของสงครามการค้า ประเทศไทยควรมีกลยุทธ์ทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ ดังนี้
1. ภาครัฐ :
– ส่งเสริมข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีนหรือสหรัฐฯ มากเกินไป
– พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
– สนับสนุนนวัตกรรม การวิจัย และพัฒนา (R&D)
2. ภาคเอกชน :
– กระจายความเสี่ยงด้านตลาดและซัพพลายเชน
– ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
– พัฒนาทักษะแรงงานเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต
การปรับตัวเชิงรุกเช่นนี้จะทำให้ไทยไม่เพียงแค่'อยู่รอด'แต่ยังสามารถ'เติบโต' ได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
สรุป
สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาส ขึ้นอยู่กับว่า เราจะปรับตัวอย่างไร ประเทศไทยในฐานะประเทศขนาดกลาง ต้องใช้จุดแข็งของเราให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน