กรมพัฒน์วิเคราะห์ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น มีโอกาสเติบโต ตลาดต้องการ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าวิเคราะห์ธุรกิจที่มีศักยภาพ เดือน ก.พ.68 พบธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีโอกาส สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และผู้ประกอบการ มีนิติบุคคลในธุรกิจนี้ 2,993 ราย เผยปี 66 สร้างรายได้รวมกว่า 9.1 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง ส่วนการส่งออก กล้วยไม้เป็นแชมป์ส่งออกตลาดโลก และทำเงินเกินครึ่งของยอดส่งออกไม้ดอกทั้งหมด แนะเกษตรกรใช้เทคโนโลยีช่วยเพาะปลูก นำไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันธุรกิจขอกู้เงิน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้วิเคราะห์ธุรกิจประจำเดือน ก.พ.2568 พบว่า ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างโอกาสให้คนไทย และเศรษฐกิจของประเทศ เพราะไทยมีภูมิประเทศที่เป็นทำเลทอง มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งพื้นดิน อากาศที่อบอุ่นถึงร้อนชื้นเหมาะกับการเติบโตของต้นไม้
และมีแหล่งน้ำที่เหมาะสมกับการทำกสิกรรมหรือเพาะปลูก ที่เป็นปัจจัยสำคัญให้ต้นไม้งอกงามเจริญเติบโตได้ดี ประกอบกับคนไทยส่วนใหญ่มีทักษะในการเพาะปลูกเป็นทุนเดิม ทำให้สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้จากธุรกิจได้โดยง่าย สอดรับกับข้อมูลของสำนักงานสถิติที่พบว่า ไทยมีผู้ทำการเกษตรจำนวน 8.6 ล้านราย บนพื้นที่ 141 ล้านไร่ จำนวนนี้เป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชผัก สมุนไพรและไม้ดอกไม้ประดับจำนวน 202,801 ราย ในพื้นที่กว่า 7 แสนไร่
ทั้งนี้ จากข้อมูลนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น (ณ วันที่ 28 ก.พ.2568) พบว่า มีธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลมีจำนวน 2,993 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และกลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) 2,727 ราย กลุ่มผลิต 378 ราย และกลุ่มขาย 2,349 ราย รองลงมาเป็นธุรกิจขนาดกลาง (M) 208 ราย กลุ่มผลิต 3 ราย และกลุ่มขาย 205 ราย และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ (L) 58 ราย กลุ่มผลิต 2 ราย และกลุ่มปลีก 56 ราย
สำหรับ ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1.กลุ่มผลิต อาทิ การทำสวนไม้ประดับ, การปลูกพืช เพาะพันธุ์ และขยายพันธุ์พืชอื่นๆ , ปลูกกล้วยไม้ และปลูกไม้ดอกอื่น ๆ และ 2.กลุ่มขาย อาทิ ขายส่งดอกไม้ต้นไม้และเมล็ดพันธุ์พืช และร้านขายปลีกดอกไม้ต้นไม้และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยจากข้อมูลผลประกอบการ จะเห็นว่าปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 91,501 ล้านบาท
กลุ่มขายสร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผลิตสร้างรายได้ 4,125 ล้านบาท และขาดทุน 54.69 ล้านบาท แต่หากพิจารณาย้อนหลังไป 3 ปี (2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 1,842 ล้านบาท, 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ โดยอนาคตคาดว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เน้นสร้างความแข็งแกร่งของเกษตรกร พร้อมเปิดตลาดผลไม้ดอกไม้ประดับของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
นางอรมน กล่าวว่า ไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตและส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ โดยในปี 2566 สร้างมูลค่าการส่งออกกว่า 4,548 ล้านบาท และในปี 2567 สร้างมูลค่าส่งออกกว่า 4,777 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 9,325 ล้านบาท โดยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐฯ เวียดนาม และญี่ปุ่น และสินค้าที่สร้างมูลค่าเกินกว่าครึ่งของการส่งออกไม้ดอก คือ กล้วยไม้ไทย ที่เป็นแชมป์อันดับ 1 ของโลกมาโดยตลอด
ในปี 2566 สร้างมูลค่า 2,679 ล้านบาท และปี 2567 สร้างมูลค่ากว่า 2,755 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 5,434 ล้านบาท ส่งออกไปที่ประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุน 4,461 ล้านบาท โดยลงทุนในกลุ่มผลิต 1,319 ล้านบาท และกลุ่มขาย 3,142 ล้านบาท ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน มูลค่าการลงทุน 1,742 ล้านบาท สิงคโปร์ มูลค่าการลงทุน 449 ล้านบาท และดัตซ์ มูลค่าการลงทุน 327 ล้านบาท
ส่วนความน่าสนใจในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นของประเทศไทย คือ การเชื่อมโยงเกษตรกรไทยให้เข้ากับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร เปลี่ยนเกษตรกรแบบเดิมให้เป็น Farmer Business และทำเกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Farming ซึ่งเทคโนโลยีจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้แรงงาน เพิ่มคุณภาพมาตรฐานให้สินค้า บริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น อย่างการพยากรณ์ลม ฟ้า อากาศ หรือการปรับปรุงคุณภาพดินให้เหมาะสมกับพืชที่จะปลูก ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วนมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของธุรกิจนี้
อย่างไรก็ตาม ด้านเงินทุนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถต่อยอดต่อไปได้ โดยโอกาสที่เกษตรกรต้องคว้าไว้ คือ การปลูกต้นไม้เพื่อขายเป็นคาร์บอนเครดิต รวมถึงการนำต้นไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน นำไปใช้หมุนเวียนหรือขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีมากขึ้นทุกปี